วันเสาร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2558

การรักษาสิว

หลักการรักษาสิว

การรักษาทั่วไป

  1. รักษาสิวอุดตัน ด้วยตนเองวิธีแรก คือ อย่าปล่อยให้ผิวหน้าสกปรกเป็นเวลานานๆ
  2. เลี่ยงการเช็ดหน้าหรือนวดหน้าแรงจนเกินไป
  3. อย่าใช้ผ้าเช็ดหน้ากดทับบริเวณที่สิวอักเสบ
  4. ล้างหน้าวันละ 2 ครั้งตามปกติ และใช้ผ้าซับเบาๆไม่จำเป็นต้องล้างบ่อยจนเกินไป เพราะสิวไม่ได้เกิดจากความสกปรก แต่สำหรับในคนที่หน้ามันมาก อาจล้างเพิ่มระหว่างวันด้วยน้ำเปล่า ซึ่งจะไม่ทำให้เกิดการเสียสมดุลของค่า pH บนผิวหน้า ยกเว้น ช่วงที่เสร็จจากการออกกำลังกาย หรือช่วงที่คิดว่าหน้าเราสกปรกมากจริงๆ
  5. เวลาล้างหน้าไม่ควรถูใบหน้าแรงๆ เพราะอาจทำให้สิวเกิดการอักเสบได้
  6. หลีกเลี่ยงภาวะที่ทำให้หน้าชื้นเช่น sauna การทำงานในครัว และสถานที่ที่มีมลพิษมากๆ
  7. งดใช้เครื่องสำอางที่ทำให้เกิดสิว เครื่องสำอางที่เพิ่มความมัน หรือเลือกเครื่องสำอางที่ถูกกับผิวหน้า
  8. งดยาหรือครีมทาก่อนนอน
  9. ห้ามบีบหรือแกะสิวโดยเด็ดขาด เพราะอาจจะทำให้สิวลุกลาม
  10. อาหารสามารถรับประทานได้แต่ก็ควรจะหลีกเลี่ยงอาหารที่มัน และหวานและก็อย่ารับมากจนอ้วน
  11. การเลือกยาทาสิวขึ้นกับชนิดของสิวซึ่งควรจะปรึกษาแพทย์
  12. หลีกเลี่ยงการถูกแสงแดด
  13. ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าควรเป็นสบู่เหลวอ่อนๆ หรือคลีนเซอร์สูตรอ่อนโยน และสครับหน้าเบาๆ
  14. ถ้าหากใช้รองพื้นหรือใช้เครื่องสำอาง ควรล้างเครื่องสำอางด้วย Cleansing Remover และล้างหน้าให้สะอาดก่อนนอน
  15. ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่มีสามารถขจัดแบคทีเรีย อันเป็นสาเหตุของการเกิดสิว หรือที่มีส่วนผสม ของสารสกัดจากพืชธรรมชาติ ที่เหมาะกับสภาพผิว
  16. ระหว่างเป็นสิว ควรงดใช้ผลิตภัณฑ์ใส่ผม หรือเครื่องสำอางที่มีความเหนียวเหนอะหนะ เพราะอาจมีตกค้างอยู่แถวๆไรผมได้ ซึ่งอาจทำให้เป็นสิวได้
  17. ควรใช้มอยซ์เจอไรเซอร์ชนิดออยล์ฟรีทาบนใบหน้า
  18. หากเราเส้นผมมัน ก็ควรสระผมให้สะอาด เพราะสิวอุดตันอาจเกิดขึ้นได้ตามบริเวณไรผม
  19. หลีกเลี่ยงเครื่องสำอางที่แรงเกินไปหรือมีส่วนผสมของน้ำหอม น้ำมัน หรือฮอร์โมน โดยเลือกใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับผิวหน้าที่ระบุว่า ไม่เป็นตัวก่อสิว "Non-comedo genic" คือไม่ก่อให้เกิดสิวอุดตัน
  20. ควรหลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีใดๆก่อนเข้านอน
  21. หลีกเลี่ยงการใช้น้ำยาปรับผ้านุ่มกับปลอกหมอนหรือที่นอน
  22. พักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอ หากร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอ จะส่งผลให้ระบบฮอร์โมนทำงานไม่สมดุล และมีปริมาณสารที่ก่อให้เกิดการอักเสบเพิ่มขึ้น
  23. พยายามหลีกเลี่ยงความเครียด เพราะการเครียดมากๆจะทำให้ต่อมไขมันทำงานหนัก อาจลดความเครียด ด้วยการนั่งสมาธิ หรือ การฝึกการหายใจ สร้างอารมณ์ขำขัน ทำให้เรามีความสุข ปราศจากความเครียด ซึ่งความเครียดเป็นสาเหตุของสิว
  24. หมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ
  25. ดื่มน้ำให้มากๆในแต่ละวัน เพราะน้ำจะช่วยล้างสารพิษในร่างกาย
  26. อบไอน้ำสัปดาห์ละ 1 ครั้ง เพื่อเปิดรูขุมขนให้ไอน้ำเข้าไปทำความสะอาด
  27. หลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้าให้น้อยที่สุด เพราะฝ่ามือมีทั้งความสกปรก และแบคทีเรีย ซึ่งเป็นตัวก่อให้เกิดสิว
  28. ควรใช้หลังฝ่ามือลูบแทน เพราะหลังฝ่ามือเป็นบริเวณที่เราไม่ยุ่งเกี่ยวมากที่สุด จึงเป็นบริเวณที่ค่อนข้างสะอาด แต่เราควรล้างมือให้สะอาดอย่างสม่ำเสมอ
  29. ห้ามบีบหรือกดสิวด้วยตัวเอง เพราะหากทำผิดวิธีมักจะก่อให้เกิดแผลและหลุมสิวได้ ซึ่งการบีบจะทำให้เกิดการแพร่กระจายของสิว และยังเป็นสาเหตุหลักของการเกิดสิวอักเสบด้วย
  30. หากหน้าเรามันมากๆ ควรใช้กระดาษซับหน้ามัน ซึ่งเป็นวิธีช่วยลดความมันบนใบหน้า แต่ก็ไม่ซับทั้งวันจะดูไม่ดีและเสียนิสัย
  31. ควรงดรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง (หรือรับประทานแต่แต่พอดี) เพราะเป็นสาเหตุอีกประการของการเกิดสิว
  32. เลือกรับประทานอาหารที่มีปริมาณน้ำตาลหรือแป้งต่ำ โปรตีนต่ำหลีกเลี่ยงโปรตีน leucine หลีกเลี่ยงผลิภัณฑ์ที่ทำจากน้ำนม รับประทานผักผลไม้เป็นประจำ การที่เรากินอาหารจำพวกผัก จะทำให้เราสามารถล้างพิษออกจากร่างกายได้ และยังมีวิตามินต่างๆ ซึ่งยังช่วยทำให้เราร่างกายแข็งแรงอีกด้วย ลดไขมันไปในตัว
  33. หยุดสูบบุหรี่
  34. เลือกใช้กันแดดที่ค่า SPF 15 เพื่อป้องกันความมันของเนื้อครีม
  35. ใช้ผลิตภัณฑ์มาส์กหน้าที่มีส่วนผสมจากสารสกัดธรรมชาติที่ช่วยผลัดเซลล์ผิว และบำรุงผิวอาทิตย์ละครั้ง
  36. หากใช้วิธีต่างๆ ไม่ได้ผล ให้ปรึกษาแพทย์ผิวหนังจะดีที่สุด เนื่องจากสิวอาจเกิดจากกรรมพันธุ์ หรือ ฮอร์โมน ซึ่งการปรึกษาแพทย์จึงเป็นทางเลือกสุดท้ายที่ควรทำ ซึ่งปัจจุบัน ยังมีคลินิกรักษาหน้าเปิดอยู่ทั่วไป
  37. ใช้เปลือกส้มหรือเปลือกมะนาวที่สับละเอียด ผสมโยเกิร์ต แล้วนำไปพอกหน้าทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที แล้วล้างออก จะสามารถช่วยกำจัดสิวอุดตันออกไปจากใบหน้าได้
  38. ใช้น้ำผึ้งพอกหน้าสัปดาห์ละ 4 ครั้ง ก่อนพอกควรล้างมือให้สะอาด ขณะที่พอกให้ใช้มือนวดหน้าวนไปเรื่อยๆสัก 3 นาที ก็สามารถช่วยเรื่องสิวอุดตันได้อีกทางหนึ่ง


การรักษาสิว


การรักษาสิวขึ้นกับชนิดของสิว และความรุนแรงของสิว การเลือกใช้ยาก็เช่นเดียวกัน การรักษาสิวจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยประมาณ 6 สัปดาห์จึงจะบอกว่าไม่ได้ผล


ยาทารักษาสิว

  • ยาทารักษาสิวจะทาบริเวณที่เกิดสิว มิใช่ทาเฉพาะหัวสิว หากเป็นบริเวณกว่างก็อาจจะจำเป็นต้องใช้ยารับประทาน
  • Salicylic acid 10% is similar in action to retinoids.
  • Azelaic acid มีการระคายเคืองน้อย แต่อาจจะทำให้เกิดผิวสีเปลี่ยนบริเวณที่ทา
  • สำหรับผู้ที่เป็นสิวมีหนองเล็กน้อยอาจจะใช้ยา  benzoyl peroxide ซึ่งจะลดการสร้างไขมัน และยับยั้งการเจริญของเชื้อแบคทีเรีย  P. acnes:
    • ยานี้จะมีการระคายเคือง และจะทำให้ผิวลอกใน3-4 วัน
    • เวลาเริ่มจะใช้ความเข้มข้น 5% และค่อยเพิ่มความถี่ หรือความเข้มข้น
    • ยานี้จะทำให้เกิดอาการแสบร้อนหลังจากทา
    • ยา Benzoyl peroxideอาจจะผสมร่วมกับยา  clindamycin หรือ  erythromycin 
  • ยาทาปฏิชีวนะ:
    • ได้แก่ erythromycinclindamycin และ tetracycline
    • ใช้ยาเป็นเวลานานอาจจะเกิดเชื้อดื้อยาจึงต้องผสมกับยา benzoyl peroxide เพื่อลดอาการดื้อยา
  • ยาทา retinoids:
    • ได้แก่ยา  isotretinoin, tretinoin or adapalene จะลดการเกิดสิว และลดการเกิดอักเสบ
    • ระหว่างการใช้ยานี้ห้ามออกไปตากแดดเพราะจะทำให้เกิดการระคายเคือง Adapalene เป็นยาที่มีการระคายเคืองน้อยที่สุด
    • แม้ว่าการดูดซึมจะน้อยแต่ก็ไม่ควรใช้ในคนท้อง
ยารับประทานรักษาสิว
  • การใช้ยารับประทานเพื่อรักาาสิวจะต้องใช้เวลาหลายเดือนจึงจะได้ผล ดังนั้นจะต้องรับประทานยาอย่างน้อย 3 -4 เดือนจึงจะเห็นผล
  • สามารถที่จะใช้ยารับประทานรักษาสิวร่วมกับยาทารักษาสิว
  • ผู้ที่มีผิวคล้ำควรจะได้รับยารับประทานให้เร็วเพราะเมื่อสิวหายจะเกิดจุดดำบริเวณที่สิวเกิด
  • ยาปฏิชีวนะยาปฏิชีวนะชนิดรับประทาน ได้แก่ยา erythromycin,Tetracyclines ยาปฏิชีวนะจะให้กับผู้ที่เป็นสิวรุนแรงปานกลางถึงรุนแรงมากจะให้ระยะเวลาไม่เกิน 3-4 เดือนเพื่อลดการดื้อยา หลังจากสิวดีขึ้นจะลดการใช้ยาปฏิชีวนะชนิดรับประทาน และใช้ชนิดทาแทน
    • ยารับประทานปฏิชีวนะจะได้ผลดีในสิวที่เป็นหนอง
    • ยาปฏิชีวนะที่ใช้บ่อยคือ doxycycline   minocycline Clindamycin
  • ยาฮอร์โมน:
    • โดยการรับประทานยาคุมกำเนิดก็สามารถรักษาสิวได้ oral contraceptive 
    • ยาคุมกำเนิดที่มีส่วนผสมของ norethisterone ไม่ควรจะใช้เนื่องจากมีฤทธิ์ของ androgenic
    • Spironolactone ได้ผลดีสำหรับผู้สูงอายุ
  • Oral isotretinoin ยาอนุพันธ์ของวิตามินเอ Isotretinoin ใช้รักษาสิวชนิดรุนแรงที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยวิธีปกติ การใช้ยานี้จะต้องอยู่ในการดูแลของแพทย์ผิวหนังโดยใกล้ชิดเนื่องจากมีผลข้างของยามาก และอาจจะทำให้ทารกเกิดมาพิการหากได้ยานี้ในระหว่างการตั้งครรภ์
    • ยา retinoid isotretinoin จะลดการสร้างไขมัน
    • การรักษาด้วยยานี้จะต้องติดตามโดยใกล้ชิดเนื่องจากยานี้มีผลข้างเคียง
    • อาการข้างเคียงที่สำคัญคือ ผิว ริมฝีปาก และตาแห้ง ไขมันในเลือดสูง ปวดกล้ามเนื้อเวลาออกกำลังกาย
    • อาจจะทำให้ทารกพิการแต่กำเนิดจึงไม่ควรให้กับคนตั้งครรภ์ ดังนั้นจะต้องคุมกำเนิดระหว่างที่รับประทานยานี้
    • ผู้ที่รับยานี้อาจจะมีอาการซึมเศร้า อารมณ์แปรปรวน มีความคิดจะทำร้ายตัวเอง
การรักษาสิวโดยไม่ใช้ยา

  • comedone extractor การใช้เครื่องมือเพื่อกดหัวสิว ใช้กับสิวหัวดำ และสิวหังขาว
  • chemical peels การใช้ครีมลอกหน้าเพื่อลอกเอาผิวส่วนหน้าออก และมีเซลล์ใหม่แทนที่เซลล์เดิม
  • การใช้ Laser และแสง light therapy การใช้ Laser และ lightเป็นการรักษาที่ชั้นลึกของผิวหนังโดยที่ไม่ทำลายส่วนบนของผิวหนัง โดยเชื่อว่าจะทำให้ต่อมไขมันสร้างไขมันลดลง สำหรับการใช้แสงเพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรียซึ่งเป็นสาเหตุของการอักเสบ
  • การลอกผิวเช่นการใช้สารเคมี หรือการขัดผิว microdermabrasion ซึ่งใช้ในการลบรอยย่น ตีนกา หรือปผลเป็นเล็กๆ ก็สามารถนำมาใช้รักษาสิวได้


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น