1.ดูแลตัวเอง
ไม่ว่าจะเป็นการรักษาความสะอาดบนใบหน้า
เลือกใช้เครื่องสำอางให้เหมาะกับสภาพผิว
เพราะความสกปรกที่เกิดขึ้นมาจากความไม่ตั้งใจของเรา ไม่ว่าจะเป็นการลืมล้างมือแล้วเอามือไปสัมผัสใบหน้า
หรือบางคนมีผิวหน้าบอบบางแพ้ง่าย แต่ยังใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของน้ำหอม
เหล่านี้อาจเป็นตัวการทำให้เกิดสิวได้ เลี่ยงการสัมผัส เช็ดถูหน้า หรือนวดหน้าแรงๆ
พักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอ หมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ ดื่มน้ำให้มากๆ ในแต่ละวัน
เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ งดอาหารที่มีไขมันสูง
หลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีมลพิษมากๆ และสถานที่อับชื้น ฯลฯ
หากรักษาตามวิธีด้านล่างแล้วแต่ยังไม่ได้ผล แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ผิวหนังจะดีที่สุด
เนื่องจากสิวอาจเกิดมาจากกรรมพันธุ์ก็ได้
2.หลีกเลี่ยงแสงแดด แสงแดดเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผิวหน้าที่เป็นสิวอยู่แล้วเผชิญกับภาวะที่รุนแรงมากขึ้น
หากเราไม่ป้องกันแสงแดดที่จะกระทบต่อผิวหน้าของเราโดยตรง
โดยในระหว่างการใช้ยาทารักษาสิวอุดตันเราจำเป็นต้องใช้ครีมกันแดดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เพราะผลิตภัณฑ์รักษาสิวส่วนใหญ่นั้นมักมีผลทำให้ผิวหน้าไวต่อแสง
และที่สำคัญอย่าลืมล้างครีมกันแดดออกให้สะอาดหมดจดด้วยล่ะ
เพราะไม่อย่างนั้นมันจะเกิดการอุดตันซ้ำซ้อนบนใบหน้าของเราได้ จนรักษาไม่จบไม่สิ้น
3.ควบคุมความมันบนใบหน้า เมื่อเราผ่านขั้นตอนการกำจัดสิวอุดตันออกมาจากผิวได้แล้ว
สิ่งที่ควรทำอีกอย่างก็คือ ควรลดน้ำมันบนใบหน้าควบคู่ไปด้วย
และอย่าให้อะไรมาอุดตันรูขุมขนของเราได้ ถ้าผิวหน้าไม่แพ้ AHA และ BHA เราอาจใช้ผลิตภัณฑ์ทั้งสองตัวนี้เป็นประจำเพื่อช่วยในการป้องกันการเกิดสิว
4.ใช้เบนซอยเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl peroxide – BP) หรือ
ยาบีพี (สามารถช่วยลดสิวอุดตันได้ในระดับปานกลาง)
มีอยู่หลายยี่ห้อด้วยกัน เช่น Benzac AC, Enzoxid, Brevoxyl (Water based),
PanOxyl (Alcohol based), ACNEXYL (เนื้อเจล)
เพียงแค่คุณนำมาใช้ทาให้ทั่วหน้าก่อนการล้างวันละ 2 ครั้ง
ทั้งเช้าและเย็นหรือก่อนนอน โดยให้ทาทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด
โดยยาประเภทนี้จะออกฤทธิ์ไปลดปริมาณไขมันที่ผิวหนังและช่วยละลายสิ่งสกปรกที่อุดตันตามรูขุมขน
จึงช่วยลดการอุดตันของต่อมไขมันได้
สำหรับผู้เริ่มใช้ควรใช้ในขนาดความเข้มข้นต่ำก่อนนะครับ หรือขนาด 2.5%
เมื่อผิวเริ่มชินกับยาแล้ว จึงค่อยๆ เพิ่มระยะเวลาการทาให้นานขึ้น
และเพิ่มความเข้มข้นของยาเป็น 5% หรือ 10% ไขมันที่อุดตันก็จะถูกละลาย
และสามารถกดออกมาได้โดยง่าย
5.ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเรตินอยด์ (Retinoids) หรือ
ยาละลายสิวอุดตัน เป็นสารสกัดจากอนุพันธ์ของวิตามินเอ
(สามารถลดสิวอุดตันได้ในระดับดี) มีสรรพคุณช่วยละลายไขมันที่อุดตันให้อ่อนตัวและหลุดออกมาได้ง่ายขึ้น
แต่ยาทาจำพวกนี้ก็มีผลข้างเคียงที่อาจทำให้ผิวแห้ง แดงและลอก
ไม่สามารถใช้กับสตรีตั้งครรภ์ได้
อีกทั้งการใช้ยากลุ่มนี้ก็ควรใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์ผิวหนิง
โดยยี่ห้อที่รู้จักกันดีและได้รับความนิยมอย่างล้นหลามก็คือ เรตินเอ (Retin-A) ครับ ซึ่งจะมีความเข้มข้นตั้งแต่ 0.025%, 0.05% และ
0.1% ยิ่งมีความเข้มข้นสูงมากเท่าไหร่ก็ยิ่งละลายสิวอุดตันได้ดีเท่านั้น
แต่ก็ทำให้ระคายเคืองผิวมากขึ้นด้วยเช่นกัน ดังนั้นผู้เริ่มใช้ใหม่ๆ
คุณควรใช้แบบความเข้มข้น 0.025% ไปก่อนครับ หลังการใช้อาจทำให้ผิวหน้าแห้งลอกออกเป็นขุยและทำให้สิวเห่อขึ้นได้
แต่หลังจากใช้ไปสักระยะหนึ่งแล้ว ผิวหน้าของคุณก็ค่อยๆ ดูสดใสมากขึ้น
ไม่มีสิวกวนใจ แถมริ้วรอยตื้นๆ ยังจางลงอีกด้วย (ภาพ : pantip.com by
KhongkwanNK)
ปัจจุบันจึงทำให้มีผลิตภัณฑ์เพิ่มเข้ามาอย่างทาซาโรทีน (Tazarotene) ยี่ห้อ Tazorac® และอะดาพาลีน (Adapalene) ยี่ห้อ Differin® ซึ่งยาทาเหล่านี้ถ้าคุณไม่ใจเย็นและใจแข็งในการใช้จริงๆ ก็อาจทำให้ถอดใจล้มเลิกไปกลางคันได้ เพราะตัวยามันจะเข้าไปทำให้ไขมันที่อุดตันในรูขุมขนดันตัวออกมาจากรูขุมขน เลยทำให้เหมือนจะเป็นสิวเยอะขึ้น (สิวเห่อ) หลายคนจึงรับไม่ได้กับสภาพหน้าของตัวเอง จนเป็นเหตุให้หยุดใช้ยาไปเสียก่อน ยิ่งบางคนที่มีแบคทีเรีย P.acne รออยู่บนผิวเยอะ ก็จะยิ่งทำให้มีอาการอักเสบมากขึ้นเข้าไปใหญ่เลยล่ะ แต่อย่างที่บอกถ้าเราไม่เอามันออก มันก็จะอยู่กับเราตลอดไปนั้น ถ้าใครรักษาและอยู่ในช่วงนี้ก็ขอให้ทำใจไว้เลย หากผ่านมันไปได้ในอนาคตใบหน้าอันสดใสก็ไม่ไกลเกินเอื้อมมืออย่างแน่นอน และนอกจากนี้สารสกัดจากวิตามินเอจะช่วยเรื่องสิวแล้ว มันยังช่วยเรื่องริ้วรอยบนผิวหน้าได้อีกด้วย ยิ่งถ้าใช้อย่างต่อเนื่องกันนาน 3 เดือน รูขุมขนจะกระชับขึ้นและลงอย่างแน่นอน
เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ประเภท AHA และ BHA สำหรับใครที่ไม่สามารถใช้
Retinoids ได้ คุณอาจใช้สารสกัดประเภท AHA (Glycolic
acid) และ BHA (Salicylic acid) ก็ได้
ซึ่งยาเหล่านี้จะมีทั้งในรูปแบบโลชั่นและของเหลวให้เลือกใช้
แม้ว่ามันจะให้ผลช้ากว่า แต่ก็มีผลข้างเคียงน้อยกว่าด้วย โดยในส่วนของ AHA นั้นจะทำหน้าที่ช่วยกำจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว เมื่อเรากำจัดมันได้
ก็เหมือนเป็นการป้องกันการเกิดสิวไปได้ในตัว ส่วน BHA นั้นมันจะลงลึกเข้าไปในรูขุมขนเพื่อละลายไขมัน
(ลดสิวอุดตันได้ในระดับปานกลาง) คนที่ใช้ BHA เป็นประจำ
จึงทำให้สิวอุดตันจะถามหาได้ยากมาก
แม้ว่าจะไม่สามารถทำให้สิวที่แข็งตัวนั้นหลุดออกมาได้ก็ตาม
แต่ก็สามารถทำให้มันอ่อนตัวและเอาออกมาได้โดยง่าย
ยารับประทานกลุ่ม Retinoids อย่างเช่น Roaccutane, Isotretionoin ซึ่งมีขนาดตั้งแต่
10 และ 20 mg. (ใช้ตามลักษณะความรุนแรงของอาการ)
เป็นยาที่ช่วยลดการทำงานของต่อมไขมันในร่างกาย ทำให้หน้าแห้ง หน้ามีความมันน้อยลง
และยังลดคอมีโดนที่เป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดสิว เมื่อต่อมไขมันไม่ผลิตไขมัน สิวก็จะไม่เกิด
แต่เนื่องจากเป็นยากลุ่มนี้ที่มีผลต่อตับอย่างรุนแรง
อาจทำให้เกิดอาการข้างเคียงได้ เช่น ตาพล่ามัว มีอาการปวดข้อตามร่างกาย
และยานี้ต้องจ่ายโดยแพทย์เท่านั้น สตรีมีครรภ์ห้ามรับประทานโดยเด็ดขาด
- การลอกหน้าผลัดเซลล์ผิว (Chemical Peeling) ด้วยการใช้น้ำยาเคมีนำมาบนผิวหน้าเพื่อทำให้เกิดการหลุดลอกของเซลล์ผิวหนังชั้นบน ตามมาด้วยการสร้างเซลล์ผิวใหม่ขึ้นมาทดแทน โดยสารเคมีที่นิยมนำมาใช้ก็ได้แก่ AHA หรือ Glycolic acid 30-70%, BHA หรือ Salicylic acid 30-50%, TCA หรือ Trichloroacetic acid 10-30%, Phenol (carbolic acid), Jessner’s solution เป็นต้น เพื่อเป็นการช่วยลดการอุดตันของรูขุมขน ทำให้สิวอุดตันฝ่อตัวและหลุดออกมาได้ง่ายขึ้น อย่างไรก็ตามการใช้วิธีนี้มักจะได้ผลในระยะเวลาสั้นๆ คุณอาจต้องทายาร่วมด้วยเพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำอีก
-
กดสิวอุดตัน อีกหนึ่งวิธีกําจัดสิวอุดตันที่ใช้ได้เฉพาะกับสิวอุดตันหัวเปิดเท่านั้น และควรทำโดยผู้ที่เชี่ยวชาญและมีอุปกรณ์การกดสิวที่มีคุณภาพเท่านั้น ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันการเกิดแผลเป็นและหลุมสิวในภายหลัง ส่วนขั้นตอนการทำนั้นแพทย์จะใช้เข็มฆ่าเชื้อจิ้มไปที่หัวสิวเพื่อให้หัวสิวเปิด หลังจากนั้นแพทย์จะใช้ที่กดสิวกดลงไปตรงสิวที่ใช้เข็มจิ้มเอาไว้ โดยให้สิวอยู่ตรงกลางหรืออยู่ในทิศทางที่เราจะกด แล้วค่อยๆ ออกแรงกดลงไป วิธีนี้จะทำให้สิวอุดตันหลุดออกมาได้โดยง่าย (ภาพ : erk-erk.com)
- การทำไอออนโตหรือโฟโน เป็นการใช้เครื่องมือรักษาสิวอุดตันร่วมกับการใช้เจลวิตามินเอ ซึ่งเครื่องมือประเภทนี้จะช่วยในการผลักยาหรือวิตามินให้ซึมลึกเข้าสู่ผิว ซึ่งวิตามินเอจะช่วยละลายสิวอุดตัน การทำในช่วงแรกๆ อาจทำให้ผิวหน้าแห้งชลอกเป็นขุย ทำให้สิวอุดตันหลุดออกมาได้โดยง่าย ระหว่างการรักษาสิวอุดตันที่มีอยู่เดิมอาจจะเห่อขึ้นมาก่อน (แล้วจะหายในภายหลัง) หากทำเป็นประจำหน้าจะใสขึ้นมาก โดยแนะนำให้ทำสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง ซึ่งจะเห็นผลได้เร็วกว่าการทายาในกลุ่มวิตามินเอแน่นอน โดยเครื่องไอออนโตจะให้ผลในการผลักวิตามินได้ดีกว่าเครื่องโฟโน แต่ข้อเสียของเครื่องไอออนโตคือ เวลาทำจะรู้สึกช๊อตจี๊ดๆ ที่หน้า ไม่เหมือนเครื่องโฟโนที่ทำแล้วรู้สึกสบาย ส่วนราคาในการทำต่อครั้งก็ประมาณ 200-500 บาทการกรอผิวด้วยเกร็ดอัญมณี (Microdermabrasion – MD) เป็นการผลัดผิวหน้าในส่วนของความลึกระดับผิวหนังกำพร้า ด้วยการพ่นคริสตัลซึ่งทำด้วยผลึกอลูมิเนียมออกไซด์ขนาดเล็ก เพื่อช่วยในการผลัดผิว ผลที่ได้รับก็คือ จะทำให้ผิวหนังส่วนที่มีรอยคล้ำ รอยบุ๋มจากแผลเป็นหรือหลุมสิวที่เกิดในชั้นผิวหนังถูกกำจัดออกไป จนเกิดการสร้างผิวหนังขึ้นมาใหม่ วิธีนี้นอกจากจะช่วยลดรอยดำ แผลเป็น และหลุมสิวได้แล้ว ยังช่วยทำให้สิวที่อุดตันหลุดออกมาได้ง่ายขึ้น (แต่วิธีนี้ค่อนข้างจะเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ถ้าจะรักษาสิวอุดตันโดยเฉพาะ ก็ไม่แนะนำให้ทำครับ)เลเซอร์สิวอุดตัน อย่างการใช้เลเซอร์ CO2 เหมาะสำหรับคนที่เป็นสิวอุดตันจำนวนมาก อยู่ลึก กดออกได้ยาก หรือกดไม่ออกเลย (ถึงขนาดเอาเข็มจิ้มเปิดหัวก็ยังไม่ยอมออก) ซึ่งการกําจัดสิวอุดตันด้วยเลเซอร์นี้จะมีประสิทธิภาพดีมากกับสิวอุดตันที่อยู่ลึกๆ โดยไม่ทำให้เกิดรอยแผลเป็นและไม่มีเลือดออก แต่ต้องทำอยู่โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านผิวหนังนะครับ ระหว่างการทำเลเซอร์อาจมีเจ็บจี๊ดบ้าง แต่ก็อยู่ในระดับที่พอทนได้ครับสูตร BP + AHA สำหรับสูตรนี้ถือเป็นสูตรเร่งรัดสำหรับคนที่มีสิวอุดตันขึ้นก่อนถึงวันสำคัญ เป็นสูตรเร่งด่วนที่จะช่วยทำให้สิวยุบตัวลงได้อย่างรวดเร็ว วิธีการก็คือ ให้เราใช้ BP มาสู้กับสิวอุดตันเพื่อป้องกันการอักเสบ จากนั้นก็ตามด้วย AHA หรือ BHA ก็ได้ (เพื่อช่วยกำจัดสิ่งสกปรกและละลายไขมันให้ยุบตัวลง) เมื่อลงผลิตภัณฑ์เหล่านี้ไปแล้ว สิวจะเริ่มแห้งและยุบตัวลง พอมันแห้งเราก็แค่ใช้การแต่งหน้ากลบ โดยเลือกคอนซีลเลอร์ที่ใช้สำหรับกลบรอยสิวโดยเฉพาะ (ห้ามลงเมคอัพตัวอื่นในบริเวณที่เราลงคอนซีลเลอร์) แต่อย่าลืมว่าถ้าเสร็จธุระแล้วก็ต้องรีบล้างเครื่องสำอางออกจากผิวหน้า เพื่อป้องกันไม่ให้มีสิวเพิ่มขึ้นสูตร BP + AHA / BHA + ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเรตินอยด์ เป็นสูตรสำเร็จในการรักษาสิวอุดตันอย่างได้ผล โดยเริ่มจากให้คุณใช้ยา BP นำมาทาให้ทั่วหน้าก่อนการล้างหน้าทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที (วันละ 2 ครั้ง เช้าและก่อนนอน) แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด (ยาชนิดนี้จะช่วยฆ่าเชื้อ P.acne ลดปริมาณไขมันที่ผิว และช่วยละลายสิ่งสกปรกที่อุดตันรูขุมขน จึงช่วยลดการอุดตันของต่อมไขมันได้ ประมาณว่าลดการเกิดสิวใหม่) จากนั้นตามด้วยการทา AHA หรือ BHA เพื่อช่วยกำจัดสิ่งสกปรกและละลายไขมันให้อ่อนตัวลง แล้วก็ตามด้วยผลิตภัณฑ์ประเภทเรตินอยด์ เพื่อช่วยละลายสิวอุดตัน (จะเลือกใช้เรตินเอหรือดิฟเฟอรินก็ได้ครับ ตามความเหมาะสม) แถมอีกนิดว่ายาประเภทนี้จะค่อนข้างไวต่อแสง แนะนำว่าถ้าทาเสร็จแล้วก็ให้รีบปิดไฟแล้วรอประมาณ 20 นาที ก่อนจะลงยาตัวต่อไป (แต่ถ้าใจร้อนก็รอให้ยาแห้งพอก็ได้) ในกรณีที่เป็นสิวอักเสบด้วยก็ให้แต้มหัวสิวอักเสบด้วยคลินดามัยซิน แล้วตามด้วยการบำรุงผิว ส่วนตอนกลางวันนั้นก็แค่ใช้บีพีแล้วล้างหน้าตามปกติ ทาครีมบำรุง และตามด้วยครีมกันแดด เป็นอันจบครับ ทำได้ประมาณ 1-3 เดือน รับรองได้เลยว่า หล่อสวยกันทุกคนครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น